"เรื่องของหมา"(นาทีวิกฤต)
เจ้าเฉาก๊วยเป็นหมาที่น่ารัก
ฉันฟูมฟักรักเหมือนลูกผูกใจมั่น
วันเวลาหมุนผ่านเนิ่นนานวัน
ยิ่งผูกพันธ์เหมือนเขาเป็นเช่นดวงใจ
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากที่ฉันเลี้ยงเจ้าเฉาก๊วยเป็นเวลา2ปี วันหนึ่ง...จู่ๆเขาก็ถ่ายพุ่งปรุ๊ดออกมาเป็นเลือดจางๆ สร้างความตกใจให้ฉันเป็นยิ่งนัก ฉันคิดในใจว่าถ้าเผื่อเขาต้องจากฉันไป ฉันจะทำอย่างไร อีกใจหนึ่งก็ยังเข้าข้างตัวเอง"ไม่ เขาคงไม่เป็นอะไรหรอก เขาต้องหายแน่นอน ถ้าหากฉันพาเขาไปหาหมอ
พอคิดได้เช่นนั้น ฉันกับสามีจึงพาเขาไปพบสัตวแพทย์ หมอที่รักษาสัตว์โดยเฉพาะก็เข้าน้ำเกลือให้ "เออ ก็แปลกดีนะ หมาไม่สบายก็เข้าน้ำเกลือเหมือนคนเลย"ฉันคิดในใจ เขานอนอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่อิดโรยเพราะเขากินอะไรไม่ได้ อยู่หลายวัน ร่างกายจึงซูบผอมลงไปมากจนแทบจะเดินไม่ได้ สร้างความเวทนาให้ฉันเป็นยิ่งนัก มันคงจะเข่าอ่อนหมดเรี่ยวหมดแรงเหมือนกันกับคนกระมัง ถ้าหากไม่มีขนที่ยาวปกปิดร่างเอาไว้ ก็คงจะมองเห็นซี่โครงทุกซี่เหมือนกับคนที่อดข้าวอดน้ำมาหลายวันแน่ๆเลย
ขณะที่หมอกำลังทำการรักษา ฉันกับสามีนั่งรออยู่ข้างนอก พอหมอให้น้ำเกลือเเล้ว เขาจึงเดินมาพูดคุยกับฉันและสามี ฉันถามหมอว่าเจ้าเฉาก๊วยจะรอดมั๊ย? หมอตอบว่า"อาการแบบนี้ก็คงจะรอดยาก เดี๋ยวหมอจะฉีดยาให้และเอายาไปกินด้วย เผื่อยังไงหมอจะนัดใหม่อีกครั้ง" พอฉันได้ยินหมอพูดเช่นนั้น ฉันก็ได้แต่น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจ "นี่ฉันจะต้องเสียเจ้าเฉาก๊วย หมาที่ฉันแสนรักไปจริงๆเหรอ โธ่!...แล้วฉันต้องทำยังไง" ฉันคิดพร้อมกับโศกเศร้าเสียใจ สามีเมื่อเห็นฉันทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เขาจึงเข้ามาปลอบว่ามันอาจจะหายก็ได้ ทำใจดีๆไว้ ฉันจึงรู้สึกผ่อนคลายลงไปบ้าง
หลังจากที่น้ำเกลือหมด หมอก็ทำการฉีดยาให้พร้อมกับให้ยามากินด้วย จากนั้นหมอก็นัดให้มาดูอาการอีกครั้ง หลังจากนั้นเราจึงเดินทางกลับบ้าน ซึ่งตอนนั้นฉันยังไม่มีรถกระบะ เรามีเพียงรถสามล้อที่ซื้อต่อหรือพูดง่ายไก็คือสามล้อมือสองนั่นเอง ขากลับสามีก็อุ้มเขาขึ้นสามล้อ เขาก็นอนยิ่งเพราะความอ่อนเพลีย ฉันเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี ฉันเอายาเม็ดให้เขากิน แต่เขากลับไม่กลืน ฉันจึงบดยาเม็ดใส่ลงไปในอาหาร เขากินข้าวได้น้อยมาก ดูเหมือนอาการของเจ้าเฉาก๊วยแทบจะไม่ดีขึ้นเลย จนกระทั่งถึงวันที่หมอนัด เราจึงพาเขามาพบหมออีกครั้ง
ทันทีที่หมอเห็นเจ้าเฉาก๊วย สีหน้าของหมอแสดงถึงความตกใจพร้อมกับอุทานออกมาว่า"อ้าว!...นึกว่าตายแล้ว ยังอยู่เหรอ " หมอบอกว่ายังไงๆเสียเจ้าเฉาก๊วยก็คงไม่รอดแน่ แต่หมอก็นัดไปอย่างนั้นเอง
จากนั้นหมอก็รักษาตามอาการ พอหมอตรวจเสร็จ
เราก็พาเจ้าเฉาก๊วยกลับบ้าน ฉันทำตามคำแนะนำของหมอ จนเจ้าเฉาก๊วยอาการดีขึ้นวันละนิด เขากินอาหารได้บ้าง จากเมื่อก่อนที่เดินแทบจะไม่ไหว อาการก็ดีขึ้นพอสมควร เขาเดินได้แต่ก็ยังเพลียอยู่ ฉันดูแลเขาเป็นอย่างดี พร้อมกับทำใจยอมรับว่าอะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด คงจะไม่มีใครห้ามไม่ให้มันเกิดได้ พอคิดได้เช่นนี้ ทำให้ฉันนึกถึงบทกลอนที่เคยเรียนตอนสมัยเมื่อครั้งอยู่มัธยม ซึ่งฉันก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เขาบอกว่า"ห้ามเปลวไฟไม่ให้มีควัน ห้ามสุริยันต์ไม่ให้ส่องแสง ห้ามเหล่านี้ได้จึ่งห้ามนินทา"
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา การพลัดพรากจากของรักก็เป็นสิ่งที่เราจะห้ามไว้ไม่ได้ สักวันหนึ่งมันก็ต้องมาถึงอยู่ดี เมื่อคืดได้เช่นนี้ จิตใจของฉันก็เริ่มผ่อนคลายลง
จากวันกลายเป็นเดือน...อาการของเจ้าเฉาก๊วยก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ สร้างความดีใจให้ฉันเป็นยิ่งนัก จนในที่สุด...มันก็กลับคืนมาสู่สภาพปกติ เขากินข้าวได้เช่นเดิม ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น เขาสามารถวิ่งได้ตามปกติ นี่กระมังที่เขาบอกว่า"ไม่ถึงคราวตายก็ไม่วายชีวาวาตย์ ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ"
สำหรับเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านโพสต์นี้และต้องการสมัครเข้ามาเป็นสมาชิก ขอแนะนำลิงค์นี้เลยค่ะ
วิธีลงชื่อสมัครใช้ Steemit แฟลตฟอร์มโดยคุณตุ๊กตา
👉 https://steemit.com/thai/@tookta/pt-1
👉 https://steemit.com/thai/@tookta/pt-2
ขอขอบคุณทุกๆอัพโหวต คอมเม้นต์และการติดตามนะคะ
Thank you to visiting my post and follow me