26เรื่องที่ควรรู้ ขอบอกต่อ

in #thai7 years ago (edited)

26 เรื่องที่ควรรู้ ขอบอกต่อ

  1. วิธีรักษาโรคกระเพาะอาหาร ที่เริ่มเป็นหรือเป็นมานานเรื้อรัง
    ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
  2. ทานข้าวให้ตรงเวลาอยู่เสมอ หากติดขัดให้ดื่มนมสดรสจืดแทน
  3. งดอาหารรสจัดต่างๆ ที่สำคัญมากห้ามใส่น้ำส้มสายชูเด็ดขาด
  4. ห้ามดื่มเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม และน้ำแข็งก้อน (น้ำแข็งแช่เองในตู้เย็นทานได้บ้างไม่เป็นไร)
  5. ข้อนี้สำคัญสุด ให้ทานยา อูลกัสตริน ต้องเคี้ยวตัวยาให้ละเอียดด้วยก่อนกลืน ทานยานานสองเดือน
  1. ปวดประจำเดือน
    อาการปวดประจำเดือนเกิดจากมดลูกมีการปีบตัวมากเกินไป เกิดอาการปวดเกร็งที่ท้องน้อยมาก
    สมุนไพรที่ใช้แก้ปวดประจำเดือนมีอยู่หลายขนาน แต่ขอแนะนำเพียง 2 อย่าง
    1.ให้กิน งาดำคั่วบดผง วันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งช้อนชาเป็นประจำ เนื่องจากเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะเหล็ก และแคลเซียม
    2.ใช้ ไพล หรือ ลูกใต้ไฟ หรือ ใบขี้เหล็กตัด อย่างใดอย่างหนึ่ง ประมาณ 1 กำมือใช้น้ำพอท่วมยา ต้มนาน 10-15 นาที ดื่มครั้งละ1/2 แก้วทุก 4 ชั่วโมงจะช่วยลดอาการปวดได้
    ข้อสำคัญ
    หากมีอาการผิดปรกติอย่างอื่นร่วมด้วย อย่างเช่น มีเมือกออกมาพร้อมกับมีกลิ่นน่ารังเกียจ ควรพบแพทย์ด่วน เพื่อตรวจรักษา
  1. การนั่งเล่นคอมฯนานๆ
    และใช้มือจับเมาส์โดยปล่อยให้ข้อมือหรือส่วนของแขนสัมผัสขอบโต๊ะเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และเป็นประจำบ่อยๆ นานวันเข้าจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เพราะบริเวณส่วนของร่างกายที่สัมผัสกับขอบโต๊ะนานนั้น ระบบวงจรการส่งผ่านของเลือดจะไปไม่สดวก มีวิธีแก้ไขง่ายๆโดยหาผ้านุ่มๆพับเป็นสี่เหลี่ยมหนาๆ แล้วนำมารองรับส่วนของร่งกายที่สัมผัสขอบโต๊ะ ก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
  1. อากาศหนาวเย็น ควรหาผ้าพันคอไว้ จะได้ไม่เจ็บคอ
    เวลานอนให้สรวมถุงเท้าไว้ด้วยจะได้ไม่เป็นหวัดง่าย ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำชาจีนอุ่นๆเสริมความอบอุ่นกับร่างกาย หากหนาวนักไม่ถูกกับน้ำ(ไม่ใช่กลัวน้ำ) ก็ใช้แบบทันสมัยหน่อย คือซักแห้ง ดีไปอย่างเก็บกลิ่นเดิมๆไว้ คนชิดใกล้จะได้จำถูกคน
  1. การบูร ภัยใกล้ตัวทำลายเยื่อจมูกขาด
    แพทย์เตือนผู้นิยมใส่ในรถ-ห้องปรับอากาศ ชี้ระเหิดกลายเป็นไอเข้มข้นอันตรายต่อเยื่อจมูก มหาวิทยาลัยมหิดล เตือนผู้นิยมนำการบูร มีทั้งคุณและโทษ ต้องใช้ให้ดี ถ้าอยู่ใกล้ตัวใส่มากจะทำลายเยื่อบุจมูกได้ ระบุปกติจะใส่ในตู้เสื้อผ้าและที่มีกลิ่นอับ พร้อมแนะประคบสมุนไพรลดอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอกในฤดูหนาว ช่วยลดอาการอักเสบได้ รศ.พร้อมจิตต์ ศรลัมภ์ รองคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าปัจจุบันประชาชนนิยมนำการบูรมาใส่ในห้องปรับอากาศหรือในรถยนต์ โดยที่ไม่ทราบว่าประโยชน์ที่แท้จริงคืออะไร อยากฝากเตือนว่า ไม่อยากให้นำการบูรไปใส่ในห้องปรับอากาศหรือรถยนต์ เพราะการบูรระเหิดกลายเป็นไอ ถ้ามีปริมาณเข้มข้นในอากาศทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกเป็นอันตรายได้ ปกติจะใส่ในตู้เสื้อผ้าหรือบริเวณที่มีกลิ่นอับ แต่ไม่ควรใส่ห่อใหญ่เกินไป ควรใส่การบูรเล็กน้อยพอไม่ให้ตู้มีกลิ่นอับเท่านั้น ถ้าใส่มากเกินไปอาจทำลายเยื่อจมูกได้
  1. ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกวิธี
    การดื่มน้ำ ถ้าจะให้ดีก็ต้องดื่มให้ถูกวิธีด้วยนะคะ เพื่อที่ว่านอกจากทำให้ร่างกายนำน้ำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว ยังทำให้อวัยวะต่างๆแข็งแรงอีกด้วย วันนี้เราก็นำหลักปฏิบัติง่ายๆมาฝากค่ะ
    ดื่มทุกครั้งที่ร่างกายร้องขอ แต่อย่าพรวดพราดดื่มทีละมากๆ เพราะนั่นจะไปเพิ่มภาระให้ระบบขับถ่ายอย่าง ไต ปอด ม้าม รวมทั้งระบบย่อยด้วย
    ที่เรียนกันมาว่าต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนั้น หมายรวมถึงปริมาณทั้งหมดที่รับในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้ น้ำแกง น้ำก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ
    ถ้าคุณรับประทานอาหารรสที่ไม่จัดจ้านจนเกินไป คุณก็แทบจะไม่กระหายน้ำเลย แต่หากรับประทานเนื้อสัตว์ ของหวานจัด หรืออาหารแห้งๆ ทอด ย่าง ปิ้ง ร่างกายก็จะเรียกหาน้ำมากขึ้น ทำให้อวัยวะต่างๆทำ
    งานหนัก ผลก็คือมันจะทรุดโทรมลงก่อนวัยอันควร
    อากาศร้อนของบ้านเรา ทำให้แทบทุกคนชอบเครื่องดื่มเย็นๆ จนติดเป็นนิสัยแม้ในช่วงที่มีอากาศเย็น ซึ่งทำให้อวัยวะต้องปรับน้ำที่เย็นกว่าให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก่อนนำไปใช้ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ระบบย่อยอาหารไม่ดี หรือปวดประจำเดือน จึงควรดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ และดื่มตอนที่รู้สึกกระหาย ที่สำคัญคือ ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร เพราะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ วิธีแก้ไขคือจิบน้ำอุ่น หรือซดน้ำซุปแก้ฝืดคอแทน แล้วเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่วยลดการกระหายน้ำได้
    หากคุณต้องการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ ควรดื่มตอนที่เพิ่งลุกจากเตียงหมาดๆ, ระหว่างมื้ออาหาร 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร, และหลังจากอิ่มแล้วครั่งชั่วโมง นี่แหละค่ะดีต่อสุขภาพสุดๆ
  1. ก้างปลาติดคอทำยังไงดี
    เวลากินข้าวอร่อยๆแล้วเกิดก้างปลาติดคอขึ้นมานี่ไม่สนุกเลยจริงไหมครับ บางคนก้างปลาติดคอ เข้าครั้งหนึ่ง ก็เลิกกินปลาไป นานเลยด้วย ความเข็ดขยาด ทำให้ขาดอาหารที่มีคุณค่าไปอีกอย่าง อย่างน่าเสียดาย ต่อไปนี้ถ้าเกิดก้างปลาติดคอ อย่าเพิ่งตกใจ ให้ลองทำตามวิธีต่อไปนี้
    กลืนน้ำอึกใหญ่ๆเข้าไป หรือจะปั้นข้าวเป็นก้อนกลืนเข้าไปทั้งก้อน โดยไม่ต้องเคี้ยวก็ได้ ใครมีกล้วยน้ำว้ากล้วยหอมอยู่ใกล้ๆ ก็กัดคำโตๆ แล้วกลืนลงไปเลยทั้งคำ ขนมปังปอนด์ที่นุ่มๆก็ช่วยได้สิ่งเหล่านี้ จะช่วยพาก้างปลาที่ติดอยู่หลุดลงคอไปพร้อมกัน ที่สำคัญคือ อย่าเอานิ้วล้วงเข้าไปเขี่ย ก้างปลาที่ติดคอ เป็นอันขาด เพราะจะยิ่งทำให้ก้างตำลึกเข้าไป เอาออกยากขึ้น ถ้าทำตามวิธีข้างต้นมาหมดแล้ว ยังไม่ได้ผล ก็ต้องรีบไปหาหมอเสีย แล้วล่ะครับ
  1. สิวเกิดขึ้นได้ยังไง และจะรักษาอย่างไร
    คนที่เป็นสิวมักจะกลุ้มอกกลุ้มใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวยิ่งกลุ้มใจนัก เพราะอายกลัวจะไม่สวย สิวนั้น เกิดขึ้นเพราะ ต่อมไขมันที่มีอยู่ตามผิวหน้าขับไขมันออกมา เมื่อไปรวมตัวกับฝุ่นละอองก็ทำให้เกิดการอุดตันที่ช่องขนของผิว จนอัก เสบขึ้นเป็นฝีหัวเล็กๆ เรียก กันว่าสิว
    วิธีการรักษาก็คือ รักษาความสะอาดของหน้าอยู่เสมอ โดยล้างด้วยสบู่อ่อนๆอย่าปล่อยให้ท้องผูก โดยการออกกำลังกายทุกวัน อย่ากินอาหาร ที่มีไขมันมาก แล้วก็อย่าให้ผมสกปรก สิวก็จะไม่มาราวีแน่นอน
  1. ดอกเล็บมีความหมายจริงหรือ
    มีคนเชื่อว่า ถ้าใครมีดอกเล็บขึ้นที่เล็บใดเล็บหนึ่ง แสดงว่าคนๆนั้นกำลังจะมีคนรัก ความจริงแล้ว ดอกเล็บจะปรากฎให้เราเห็นเมื่อ เล็บของเราชำรุด หรือสุขภาพไม่สมบูรณ์ต่างหาก ฝรั่งเองก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเล็บเหมือนกัน เช่นว่าถ้าเล็บขึ้นที่หัวแม่มือแปลว่าคนๆนั้น กำลังจะได้รับของกำนัล ขึ้นที่นิ้วชี้แปลว่าจะได้เพื่อนให้ ขึ้นที่นิ้วกลางแปลว่าจะมีศัตรู ขึ้นที่นิ้วนางแปลว่าจะได้รับจดหมาย ขึ้นที่นิ้วก้อยแปลว่าจะได้เดินทาง อ่านถึงตรงนี้แล้วหลายคนคงจะก้มลงดูเล็บของตัวเองกันใหญ่ว่ามีดอกเล็บขึ้นที่ตรงไหนบ้างหรือเปล่า แต่อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงความเชื่อของคนเท่านั้น อาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ ที่แน่ๆก็คือเราจะต้องรีบกินอาหารที่มีแคลเซี่ยมเพื่อไปบำรุงเล็บโดยด่วน เพราะทางการแพทย์ถือว่าเล็บของใครมีดอกเล็บขึ้นมา แสดงว่าเล็บกำลังป่วยเสียแล้ว
  1. ฟันผุเพราะอะไร
    คนที่กินขนมแล้วไม่ชอบแปรงฟัน มักจะเป็นเจ้าของฟันที่ผุเป็นรูกลวง ทำให้ปวดฟันและเคี้ยวอาหารไม่สะดวก อาการฟันผุที่ว่านี้ บางคนก็ปัก ใจเชื่อว่า เกิดจากหนอนมาชอนไชฟัน แต่ความจริงแล้ว ฟันผุเพราะแบคทีเรียที่มีอยู่ในปากตามธรรมชาติต่างหากล่ะ เมื่อไรที่มีเศษอาหารติดค้างอยู่ที่ฟัน แบคทีเรียในปากก็จะเปลี่ยนเศษอาหารให้เป็นกรด มาทำลายฟันของเราจนเป็นรูโบ๋ เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะระวังไม่ให้มีเศษอาหารอยู่ตามซอกฟัน กินอาหารเสร็จแล้วก็ต้องรีบแปรงฟันเลย จะได้เป็นเจ้าของฟันสวยๆประทับใจเวลายิ้มยังไงล่ะ
  1. กวางตุ้ง
    กวางตุ้งเข้ามาเมืองไทยจนเรากินเป็นผักไทยไปแล้ว ผักกวางตุ้งต้ม ลวก ผัดก็อร่อย แต่ดีที่สุดต้องปิดฝาเวลาตั้งไฟเพื่อความ อร่อยปลอดภัย กินกวางตุ้งเท่าไรก็ไม่อ้วน หุ่นเพรียวเป็นกวาง เพราะกวางตุ้งไขมันน้อย กากใยมาก กินแล้วไปห้องแห่งความ สุขได้สบาย ไม่ต้องออกแรง ... กวางตุ้งกินแล้วร่างกายได้ภูมิต้านทานดีนัก กินให้มากหลากหลาย ระบบภายในจะได้ตุ้งแช่ ตุ้งแช่ ทำงานครึก ครื้นสมบูรณ์ดี
  1. กุยช่าย
    เสน่ห์กุยช่ายอยู่ที่กลิ่น แต่คุณค่าทางอาหารอยู่ที่สีเขียวเข้มที่จะชี้จะๆว่า กุยช่ายอุดมสารอาหาร ทั้งเบต้า-แคโรทีนที่ช่วยป้องกันมะเร็ง เหล็กที่ช่วย ในการสร้างเม็ดเลือดแดง ดอกกุยช่ายอาจด้อยค่ากว่าใบ แต่มีของดีที่กากใยอาหาร ช่วยให้ของเสียที่ต้องระบายออกจากร่างกายถูกเคลื่อนย้าย ได้สะดวก ลดโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้กลิ่นโชยมาเมื่อไร อย่าปล่อยให้กุยช่ายหลุดมือ
  1. คะน้า
    คะน้ามีวิตามินซีสูงมาก ใครที่เป็นหวัด ผิวไม่สวย วิตามินซีช่วยได้ ช่วยให้เนื้อเยื่อของเราทำงานได้เต็มกำลัง ทีเด็ดพิเศษคือ คะน้ามีแคลเซียมสูง แคลเซียมของคะน้านั้นดูดซึมได้ดีกว่าแคลเซียมจากผักอื่นๆ
  1. แครอท
    สีส้มสดใสสว่างของแครอทช่วยดับความกลัวโรคมะเร็งได้ ในแครอทมีเบต้า-แคโรทีนที่กำจัดสารก่อมะเร็งที่อาจมากับควันบุหรี่ หรือแสงแดด แผดจัด สารนี้ป้องกันมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งในปอด ใครกินผักสด และผลไม้มากสม่ำเสมอ มีสารนี้ในเลือดมาก และใครมีมากก็ไม่ต้อง เสี่ยงกับมะเร็งปอด ลบความกลัวด้วยการกินแครอท ผักสด และผลไม้อื่นๆ
  1. ต้นหอม
    ต้นหอมมีคุณค่าทางอาหารเหมือนผักหลายๆชนิดที่ให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสในส่วนที่เหมาะสมกับการดูดซึมของร่างกาย มีเบต้า-แคโรทีน และยังมีสารพวกฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะเควอซิทีนที่เป็นเกราะกันมะเร็งให้กับคนเราได้ เหมือนกับที่พบในไวน์แดงราคาแพงนั่นเอง ลองเลือก กินต้นหอมราคาถูก เพื่อรับฟลาโวนอยด์และสารอาหารมากกว่า 10 ชนิด พร้อมด้วยกากใยอาหารกันบ้างเป็นไร
  1. กะหล่ำปลี
    กะหล่ำปลีมีวิตามินซีสูง กะหล่ำปลีสด กะหล่ำปลีคั้นเป็นตัวช่วยรักษาโรคกระเพาะ โดยดื่มน้ำคั้นวันละ 2 แก้ว นอกจากวิตามินซี กะหล่ำปลีมีสารต้านมะเร็งหลายตัว ... ในวันที่โรคมะเร็งเป็นโรคร้ายอันดับต้นๆของคนไทยเรา กะหล่ำปลีเป็นอีกหนึ่งผักที่ช่วยให้เราปลอดภัยจากโรคร้าย มากกว่าคนที่ไม่กินผัก
  1. ดอกกะหล่ำ
    กินดอกกะหล่ำ ผักดี ได้สเปิร์มดี ดอกกะหล่ำเป็นผักที่มีวิตามินซีมาก ใครกินดอกกะหล่ำสดหรือทำให้สุกอย่างรวดเร็วได้วิตามินซีสูง ล่าสุด ดร.แฮริส แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส พบว่า วิตามินซีเพิ่มปริมาณและช่วยให้สุขภาพของสเปิร์มดีขึ้น ดอกกะหล่ำดีขนาดนี้ กินดี นอกจากสุขกาย แล้วยังสุขใจ ( กินดอกกะหล่ำ เพราะฉะนั้น เหงือกดี + ไม่เป็นหวัด + ไม่เป็นมะเร็ง + สเปิร์มแข็งแรง = ดี )
    ข้อควรระวัง
    ทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะจะบอกให้
    ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen) ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีนไปสร้างเป็นฮอร์โมนไทร๊อกซิน (Thyroscine) ได้ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือจะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม จึงควรับประทานกะหล่ำปลีสุกจะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ
  1. กระเทียม หอม
    หลายท่านคงทราบข่าวกันแล้วว่า กระเทียมช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ฯลฯ
    ตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 ที่ห้องสมุดทางการแพทย์แห่งชาติมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ สามารถรวบรวมงานวิจัย เกี่ยวกับกระเทียมได้แล้วไม่น้อยกว่า 125 ชิ้น ในปี ค.ศ. 1944 Chester J. Cavallito สามารถแยกสาร Allicin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้สำเร็จ สารอัลลิซินเป็นสารประกอบพวกกำมะถันสามารถสลายตัวให้ diallyldisulfide และสารประกอบของกำมะถันอื่นๆ ซึ่งมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว การใช้กระเทียมทางยาจึงต้องใช้กระเทียมสดที่ยังมีกลิ่นฉุนอยู่
    ดังนั้น หากท่านรับประทานกระเทียมสดได้ ก็ไม่ควรซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆมาใช้ให้สิ้นเปลืองเงินเสียเปล่าๆ
    ท่านที่เป็นนักบริโภคขาหมู เคยสังเกตไหมว่าผู้ขายบางรายจะมีกระเทียมสดเป็นเครื่องเคียงให้ด้วยราวกับรู้ว่ามื้อนี้ ท่านบริโภคโคเลสเตอรอลสูง จึงต้องแก้ด้วยกระเทียมสด
    กระเทียมช่วยได้หรือ
    เป็นเช่นนั้นจริงๆ นักวิทยาศาสตร์พบว่า การรับประทานกระเทียมสดขนาด 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด และป้องกันโรคหัวใจได้
    ในปี ค.ศ. 1987 Dr. Benjamin Lau และคณะ ทำการทดลอง ณ มหาวิทยาลัย Loma Linda แคลิฟอเนีย พบว่า กระเทียมหนึ่งหัว (ประมาณเก้ากลีบ) ต่อวัน ช่วยลดโคเลสเตอรอลตัวร้าย และไขมันในเลือดได้ใน 70 เปอร์เซ็นต์ของอาสาสมัคร เขายังพบว่า ในช่วงเดือนแรกของการรักษาด้วยกระเทียม ปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดจะสูงขึ้น เล็กน้อย ก่อนที่จะทยอยลดลงในสี่เดือนถัดมา
    นอกจากนี้ยังมีการวิจัยพบประโยชน์ของกระเทียมอีกมากมาย เช่น การทดลองในอินเดียช่วยเพิ่มความรู้ ในการใช้กระเทียมอย่างถูกวิธี Dr. M. Sucur รายงานว่า จากการใช้กระเทียมกับผู้ป่วยสองร้อยคน พบว่า หลังจากที่โคเลสเตอรอลลดถึงระดับน่าพอใจแล้ว กระเทียมสดเพียงวันละสองกลีบก็เพียงพอที่จะป้องกันการเพิ่มของโคเลสเตอรอลได้
    เช่นเดียวกับหัวหอม เพื่อนสนิทของกระเทียมหัวหอมมีสารสำคัญ ไซโคลอัลลิอิน (Cycloallliin) ซึ่งมี คุณสมบัติคล้ายกระเทียม
    นายแพทย์วิกเตอร์ เกอร์วิช ผู้อำนวยการสถาบันการวิจัยระบบเลือดแห่งบอสตัน ได้ทดลองให้ผู้ป่วยที่มีระดับ โคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ต่ำถึงจุดวิกฤติจำนวน 20 คน รับประทานหอมหัวใหญ่ดิบทุกวัน วันละประมาณครึ่งหัวเป็นเวลาติดต่อกันสองเดือน พบว่าร้อยละเจ็ดสิบห้าของผู้ป่วยมีปริมาณ HDL เพิ่มขึ้นร้อยละยี่สิบถึงร้อยละสามสิบในเวลาสองเดือน และยังพบว่าระดับโคเลสเตอรอลโดยรวม (Total Cholesterol) ในกระแสเลือดลดลงน่าพอใจ
    เขายังพบว่า หอมหัวใหญ่เพียงครึ่งหัวต่อวัน ก็เพียงพอที่จะให้ผลในการลดโคเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) และเพิ่มโคเลสเตอรอลที่ดี (HDL) และหอมสดเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด
    ที่มา: เภสัชโภชนา 2 โดย ภก.สรจักร ศิริบริรักษ์
  1. วิธีผายปอดด้วยการไอ
    เจ้าหน้าที่ 2 คนจาก The Johnson City Medical Center ได้ค้นพบวิธีและได้ทำการศึกษาจากห้อง ICU และได้ทำการเขียนบทความขึ้น บทความนี้ได้ถูกตีพิมพ์และได้รับการบรรจุเข้าในวิชา ACLS และ CPR (Cardiopulmonary Resuscitation วิชาการผายปอด)
    วิธีการนี้ได้ถูกเรียกว่า "Cough CPR" (ผายปอดด้วยการไอ) วิธีการนี้สามารถช่วยเหลืออาการหัวใจล้มเหลวได้จริง และหากทุกคนที่ได้รับ email นี้ ส่งต่อให้คนอื่นๆด้วย พนันได้เลยว่าพวกเราอาจช่วยชีวิตคนได้อีก อย่างน้อยก็คงจะ 1 ชีวิตด้วยวิธีการนี้
    ลองอ่านดูตรงนี้... มันอาจช่วยชีวิตคุณได้!
    สมมติว่ามันเป็นเวลาหกโมงเย็น และคุณกำลังขับรถกลับบ้านคนเดียวหลังจากเลิกงานแล้ว คุณรู้สึกเหนื่อยล้า หดหู่ และเครียด ทันใดนั้นเอง คุณก็รู้สึกเจ็บหน้าอก อาการเจ็บเริ่มแพร่กระจายไปตามแขน และลามมาถึงขากรรไกร ถึงโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านคุณที่สุดก็อยู่***งออกไปเพียง 5 ไมล์ แต่คุณก็ไม่รู้ว่าคุณจะไปถึงรึเปล่า? คุณจะทำอย่างไร? ถึงคุณอาจเคยเรียนวิธีผายปอดมาแล้ว แต่สิ่งที่คุณเรียนมานั้น ไม่ได้สอนว่าจะช่วยผายปอดตัวเองอย่างไร? จะทำอย่างไรดีหากคุณอยู่คนเดียว แล้วเกิดอาการหัวใจล้มเหลวกระทันหัน? อย่างไรก็ดี คุณยังคงสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยการไอแรงๆ ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง! ก่อนการไอแรงๆ ทุกครั้งควรสูดลมหายใจให้ลึกๆ การไอแต่ละครั้งควรไอให้ยาวๆ เหมือนกับตอนที่พยายามขากเสลดจากปอด การหายใจลึกๆ และไอแรงๆ ต้องกระทำต่อเนื่องทุกๆ 2 วินาที (ย้ำ ทุกๆ 2 วินาที) อย่างไม่หยุดจนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ หรือจนกระทั่งรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติแล้ว การหายใจลึกๆ จะทำให้ปอดได้รับออกซิเจน ส่วนการไอแรงๆ นั้นจะทำให้แรงกระเทือนไปช่วยบีบหัวใจและทำให้เลือดหมุนเวียนได้ และแรงกระเทือนและแรงบีบหัวใจจากการไอนี้ จะช่วยทำให้หัวใจกลับสู่การเต้นปกติได้ การทำแบบนี้จะช่วยให้ผู้ที่ประสพอาการหัวใจล้มเหลวกระทันหันพาตัวเองไปถึงโรงพยาบาลได้
    กรุณาส่งข้อความนี้ให้กับคนอื่นๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อว่ามันอาจมีโอกาสได้ช่วยชีวิตของพวกเขาไว้
  1. ข้าวโพดฝักอ่อน
    ข้าวโพดอ่อนมีกากใยอาหารที่ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารสะอาดพ้นสารพิษต่างๆ ทำให้ปลอดภัยจากพิษเคมีต่างๆที่ปนมาในอากาศ อาหาร และ ช่วยให้การส่งออกของเสียเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
  1. คึ่นช่าย
    คึ่นช่ายเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องไต เพราะมีโซเดียมน้อยกินเท่าไรก็ปลอดภัยต่อไต คึ่นช่ายมีสารพิเศษที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันได้ กินสดๆร่างกายได้รับวิตามินซี ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค เบต้า-แคโรทีนแท้สดจากคึ่นช่ายผัด ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือด รวมทั้งเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารช่วยให้เบต้า-แคโรทีนทำงานได้ดีขึ้น
  1. แตงกวา
    แตงกวาเก่งเพราะน้ำ แตงกวาช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้ ให้ความสดชื่น ช่วยให้ผิวสวยเพราะชุ่มชื่น แตงกวามีพลังของน้ำอยู่เต็มผล หลายคน เป็นห่วงว่าเรากินแตงกวาเป็นผลหลัก กินกันหนักเกินไป เพราะแตงกวาไม่มีธาตุอาหารอะไรมากนัก ควรฟัง เพราะจริงๆก็เป็นเช่นนั้น แตงกวา มีน้ำมาก และสารอาหารน้อย เหมาะกินเพื่อความสดชื่นให้ร่างกาย หาผักสีเขียวเข้มกินควบกับแตงกวาด้วยจะดีมาก
  1. คนอกหักเชิญทางนี้...(บัวบก)
    ในสมัยโบราณมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าช้ำในให้แก้ด้วยน้ำบัวบก ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีการใช้น้ำบัวบกแก้ช้ำใน และมีคนทำน้ำบัวบกขายเพื่อเป็นเครื่องดื่ม
    นอกจากนำบัวบกมาทำเป็นเครื่องดื่มแล้ว ยังมีการนำบัวบกมาเป็นเครื่องเคียงของก๋วยเตี๋ยวผัดไทย หมี่กรอบ และแกงเผ็ดทั้งหลาย และจากการที่เราบริโภคบัวบกเป็นผักสด เราจะได้เบต้าแคโรทีนซึ่งมีอยู่ในบัวบกสูง ทำให้สามารถป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและโรคมะเร็ง และจากการที่บัวบกมีวิตามินบี 1 ซึ่งเป็นวิตามินแห่งระบบสมอง ทำให้บัวบกมีสรรพคุณช่วยบำรุงสมองและทำให้ความจำดี ซึ่งถ้าท่านผู้อ่านที่มีอาการหลงลืม จะใช้บัวบกช่วยก็ได้
    บัวบกสามารถปลูกเป็นไม้ประดับบริเวณรอบๆบ้านได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีคุณค่าสามารถนำมาทำเป็นยาสมุนไพรได้ โดยส่วนที่นำมาทำเป็นยาคือต้นและใบที่สมบูรณ์เต็มที่ โดยตามตำราแพทย์แผนไทยระบุว่า บัวบกมีสรรพคุณซ่อมแซมสิ่งที่สึกหรอและเป็นยาบำรุงได้ แต่ในปัจจุบันนี้มีการศึกษาวิจัยพบว่า บัวบกมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์ในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว โดยมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า สารสำคัญที่ได้จากบัวบกคือ madecassic acid, asiatic acid, asiaticoside, madecassoside ซึ่งสารสำคัญเหล่านี้มีฤทธิ์ในการสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และมีฤทธิ์ลดการอักเสบได้ นอกจากนี้บัวบกยังมีส่วนประกอบพวกน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) ที่มีกลิ่นแรง และมีสารที่มีรสขมชื่อ Vellarine และ Pectic acid และยังมี Ascorbic (Vitamin c) ในปริมาณ 13.8 มก./100 กรัม
    ในส่วนของประเทศไทยได้มีการศึกษาวิจัยหลายแห่ง เช่น คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล วิจัยในด้านเภสัชวิทยา ส่วนการศึกษาวิจัยด้านคลินิกทำที่คณะแพทย์ศาสตร์รามาธิบดี และคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยพบว่า การใช้ครีมบัวบก 1 เปอร์เซ็นต์ในผู้ป่วยที่เป็นแผลเรื้อรังจากแผล กดทับแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุ และแผลติดเชื้อ โดยใช้วันละ 1 ครั้ง พบว่าทำให้แผลหายเร็วขึ้น และทำให้การอักเสบลดลง
    ดังนั้นถ้าผู้อ่านเกิดอุบัติเหตุและมีแผลสด หรือบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือมีบาดแผลที่ติดเชื้อ ก็สามารถช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นได้ โดยการนำบัวบกทั้งต้นและใบสด 1 กำมือ นำมาล้างให้สะอาดและนำไปตำให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำไปทาชโลมบริเวณที่เป็นบาดแผลให้ชุ่มอยู่เสมอในชั่วโมงแรกๆ ต่อจากนั้นทาวันละ 3-4 ครั้งจนกว่าจะหาย แต่ถ้าท่านผู้อ่านจะใช้กากพอกที่แผลด้วยก็ได้ ถ้าทำอย่างนี้แล้วบาดแผลยังไม่ดีขึ้น ขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่อยู่ใกล้บ้าน ห้ามปล่อยทิ้งไว้นานเพราะจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ส่วนการรับประทานน้ำบัวบกเพื่อใช้เป็นยาบำรุงหรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ก็ทำโดยวิธีเดียวกันกับที่กล่าวมาแล้วโดยข้างต้น แต่มีข้อพึงระวังไว้ว่า ไม่ควรรับประทานบัวบกนานๆ เพราะมีรายงานว่าบัวบกมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตได้
    ที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับที่ 33 คอลัมน์สมุนไพรน่ารู้ โดย พ.ญ.ดวงรัตน์ วชาญวิทย์
  1. dangerous! ถั่วงอกดิบมีโทษ
    ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่นในถั่วงอกมีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ
    โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆครั้ง
    น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆครั้ง น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือจึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆเข้มข้นขึ้นมากและเกินมาตรฐานการบริโภคน้ำที่ต้มเดือดนานๆ ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์ ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกายและแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำและอาจมากจนเกินขีดจำกัดความสามารถของร่างกายในการกำจัดขับถ่ายออกมา จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ต้มเดือดแล้วหลายๆครั้ง
  1. มะขามแขก...ยาระบายไทย
    มะขามแขกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Senna alexan drina Mill. อยู่ในวงศ์ LEGUMMINOSAE มะขามแขกจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบจะใหญ่และยาวกว่าใบมะขามเล็กน้อย โดยปลายใบจะแหลมกว่าใบมะขามขนาดกว้าง 0.7-1 เซนติเมตร ยาว 2.5-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อสีเหลืองบานจากล่างไปบน ผลเป็นฝักแบบบานโค้งเล็กน้อยคล้ายถั่วลันเตา ฝักอ่อนจะมีสีเขียวเมื่อแก่จะมีสีน้ำตาล ภายในฝักจะมีเมล็ดรูปร่างแบนประมาณ 6-12 เม็ด
    ส่วนที่นำมาทำเป็นยา คือ ใบและฝักแห้ง ที่สมบูรณ์เต็มที่ โดยใบจะเก็บในช่วงที่มีอายุหนึ่งเดือนครึ่งหรือก่อนออกดอก ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า ใบและฝักมะขามแขกมีสารสำคัญ คือ แอนทราควิโนน (Anthraquinone) ซึ่งประกอบสาร Sennoside A, B, C, D และยังพบสาร emodin, rhein อีกด้วย โดยสารพวกนี้จะไปออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้ขับถ่ายอุจจาระออกมาได้
    ยาระบายมะขามแขกเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ คนที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำหรือผู้ป่วยที่ต้องนอนนานๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่อาจทำให้เกิดอาการปวดมวนท้องได้ ดังนั้น จึงควรรับประทานควบคู่กับยาขับลม เช่น กานพลู กระวาน หรืออบเชย โดยใช้ยาขับลมปริมาณเพียงเล็กน้อย
    ยาระบายมะขามแขกไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงที่ให้นมลูก เพราะสารแอนทราควิโนนจะออกมาทางน้ำนมด้วยและไม่ควรใช้ในคนที่เป็นโรคลำไส้ใหญ่ส่วนล่างอักเสบ หรือโรคทางเดินอาหารอุดตัน และห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ส่วนการวิจัยทางด้านพิษเฉียบพลัน ซึ่งทำโดยกองวิจัยทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ไม่มีพิษ
    วิธีการเตรียมยา ใช้ใบแห้ง 1-2 กำมือ (หนัก 3-10 กรัม) ต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้วิธีบดเป็นผงชงกับน้ำดื่ม ถ้าจะใช้ฝักก็ใช้ฝักแห้ง 4-5 ฝัก ต้มกับน้ำดื่ม (ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดมวนท้องน้อยกว่าใบ) หลังรับประทานยาไปแล้วควรจะระบายประมาณ 6-12 ชั่วโมง
    ที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับที่ 44 คอลัมน์สมุนไพรน่ารู้ โดย พ.ญ.ดวงรัตน์ วชาญวิทย์
  1. ไตวายเรื้อรัง
    ถ้าคุณ ดื่มเหล้าหนัก
    ถ้าคุณนอนไม่พอ
    ถ้าคุณกินเนื้อสัตว์มื้อหนึ่ง มากๆ
    ถ้าคุณชอบดื่มน้ำอัดลมมาก
    ถ้าคุณเคยปวดหลัง
    ถ้าคุณไม่เคยออกกำลังกาย
    ถ้าคุณชอบกั้นฉี่
    ถ้าคุณดื่มน้ำในวันหนึ่งน้อย
    ถ้าคุณไม่ดูแลรักษาตัว
    ถ้าคุณตัวบวม คือบวมน้ำไม่ไช่อ้วนนะ
    ถ้าคุณเป็นโรคเบาหวาน
    สาเหตุเหล่านี้จะทำให้คุณได้พบกับภัยเงียบ ไตวายเรื้อรัง
    ไต เป็นอวัยวะมีขนาดเท่ากับ กำปั้นของเจ้าของ
    ทำหน้าที่เหมือนโรงกลองน้ำ คือกรองสิ่งสกปรก สิ่งผิดปรกติออกจากเลือด
    ส่วนสิ่งสกปรกนั้นก็จะถูกเปลี่ยนเป็นฉี่ ถ้าคุณเคยสังเกตุ เวลากินอาหารเช่น สตอ
    แล้วเวลาฉี่จะมีกลิ่นสตอออกมานั่นคือ ไตได้กรองเอาสารบางอย่างออกมาจากสตอแล้ว
    เมื่อไตวายเรื้อรัง คือไตไม่สามารถใช้เป็นปรกติ ซึ่งจะทำให้การกรองของเสียของเลือดได้ไม่ดี
    ซึ่งจะทำให้เลื่อดมีค่าของเสียมาก ซึ่งปรกติคนทั่วจะมีค่าของเสียอยู่ 1-2 เวลาเจาะเลือดจะดูได้
    ซึ่งไตเสีย ค่าของเสียจะมีค่ามากกว่า 2 อาจจะเป็น 5 9 13 15 ซึ่งถ้าเกิน 9 อาจจะทำให้ช็อค และเสียชีวิตได้
    วิธีการตรวจ ได้วิธีเดียวคือการเจาะเลือดและตรวจปัสสาวะ
    วิธีการรักษา โดยขั้นแรก หมอจะให้ควบคุมอาหารและน้ำดื่ม ถ้าอาการคงที่ ก็รักษาในขั้นนี้ แต่ถ้าอาการหนักขึ้น ขั้นสองคือการฟอกเลือด หรือการล้างไต การฟอกเลือด คุณจะต้องไปที่โรงพยาบาลที่บริการล้างไต เครื่องล้างไต มีขนาดเท่าตู้เย็น และมีกระบอก filter คล้ายที่กรองน้ำแต่ ใช้กรองเลือด
    ก่อนจะมาถึงขั้นตอนนี้ ต้องได้รับการผ่าตัดเล็กเพื่อการฟอกไตก่อน เสียค่าใช้จ่ายอีกประมาณ 20000-40000 บาท หมอจะใช้เข็มขนาด 2 มิล แทงเข้าไปในเส้นเลือด 2 อัน อันแรกต่อไปที่เครื่อง ส่วนอีกอันต่อกลับเข้ามาที่ตัว คือมีเข้าหนี่งเส้นออกหนึ่งเส้น ใช้เวลาการทำ ครั้งละ 4-5 ชม.
    คือคุณจะต้องไปนอนที่โรงพยาบาล 4-5 ชม. ค่าใช้จ่ายครั้งละ 2000-4000 แล้วแต่โรงพยาบาล 1 อาทีตย์ล้าง 2 ครั้ง ทำไปเรื่อยจนกว่าคุณจะได้ไตใหม่แล้วมีการผ่าตัดใส่เข้าในตัวคนไข้ถึงจะหายขาด การปลูกถ่ายไตใหม่ ต้องหาไตที่สมบูรณ์ และมีการ Matching ที่ดีระหว่างผู้ป่วย กับไตใหม่ที่ได้รับบริจาค ผู้ป่วยอาจต้องรับบริจาคไต จากคนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง หรือรอรับบริจาคทั่วไป ซึ่งใช้เวลาหลายปี
    โดยทั่วไป ไตที่จะปลูกถ่ายใหม่ มีโอกาสที่จะเกิดการต่อต้านโดยร่างกายผู้ป่วย ซึ่งถ้าการปลูกถ่าย ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องผ่าตัด เพื่อเอาออก และกลับไปใช้วิธีการฟอกไต ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต ต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 350,000- 500,000 บาท หากการผ่าตัดประสบความเร็จด้วยดี หลังจากได้รับการปลูกถ่ายไตใหม่เรียบร้อย คุณจะต้องรับภาระค่ายาอีก 10000-20000 ต่อเดือน จะเห็นได้ว่า ทรมาร ทั้งกาย และเงิน ดังนั้นจึงควรนั่งลงให้สบายแล้วนั่งคิด ถึงร่างกายตัวเอง เราเท่านั้นที่จะทราบได้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเรา จงรักษาตัวของเราไว้ให้ได้ดีที่สุด คุณจะได้มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากทำได้นาน

Coin Marketplace

STEEM 0.26
TRX 0.21
JST 0.037
BTC 94986.45
ETH 3594.38
USDT 1.00
SBD 3.77