การเตะตัดขาจากสรวงสวรรค์ #1 : อวสาร Manual PEN E-P3 ที่บรัสเซลล์ < Brussels >
เราเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายรูป มากกว่าการถ่ายด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือแม้เราจะไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ แต่ก็พอจะมีความรู้เกี่ยวกับกล้องถ่ายรูปอยู่บ้างนิดหน่อย เราได้เคยเล่าถึงกล้องตัวนี้มาบ้างแล้วครั้งหนึ่งในโพสต์ ความทรงจำ ณ มุมนี้ กล้องตัวที่ว่านี้ คือ Olympus รุ่น PEN E-P3 เป็นกล้องถ่ายรูปแบบโปรตัวแรกที่เราเก็บเงินซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว ราคาในขณะนั้นสำหรับเราถือว่าไม่ถูกเลย ต้องเก็บเงินหลายเดือนกว่าจะได้ เป็นกล้องดิจิตอลที่มีทั้งฟังก์ชั่น Auto และ Manual เราตั้งใจเก็บเงินซื้อกล้องตัวนี้มา เพราะตังใจว่าจะฝึกถ่ายภาพด้วยฟังก์ชั่นแบบ Manual อย่างจริงๆจังๆ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หลังจากถอยกล้องตัวนี้ออกมาได้ไม่ถึง 3 เดือน ในช่างที่เราหอบมันข้ามน้ำข้ามทะเลเดินทางไปยุโรปด้วยกัน
กลางเดือนกันยายน ปี 2555.....เรามีช่วงระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 สัปดาห์ในบรัสเซลล์ โดยได้พักอาศัยอยู่กับเพื่อนชาวเบลเยี่ยมคนหนึ่ง วันนั้นวันที่เราไปถึงจำได้ว่าเป็นสองวันสุดท้ายของเทศกาล Medieval Forest Fair ของบรัสเซลล์ ซึ่งเราเองก็ไม่เคยรู้หรือสนใจมาก่อนเกี่ยวกับ Events หรือ Festival อะไรที่ว่านี้เลย เพียงแต่เราโชคดีที่ผ่านไปตรงช่วงเวลาประจวบเหมาะที่เขากำลังจัดงานกันพอดี ก็เพิ่งจะมาค้นข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากที่ไปมาแล้วหลายเดือน ก็เลยทราบว่ามันเป็นงานเทศกาลสำหรับคนที่หลงใหล และอยากกลับไปสัมผัสกับบรรยากาศในยุคกลางของยุโรป ช่วงศตวรรษที่ 15 บรรยากาศของหมู่บ้านชนบท นักรบ และสงครามระหว่างอัศวินในยุคนั้น
วันที่เกิดเหตุการณ์จำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นสุดท้ายของเทศกาล และเป็นวัน Car Free Day ทั้งเมืองงดใช้รถยนต์ใช้ได้แต่เฉพาะจักรยานหรือต้องเดินเอาเท่านั้น เหมือนกับวัน “ถนนคนเดิน” บ้านเรา เพื่อนให้ยืมจักรยานออกมาขี่เล่น ตัวเราก็หลั่นล้า หยิบกล้องตัวรักคล้องคอ เตรียมไปฝึกถ่ายภาพเต็มที่ เพลิดเพลินในความโชคดีของตัวเอง มาแบบไม่ได้วางแผน มีที่พักฟรี มีจักรยานฟรีแถมโชคดีมาตรงกับเทศกาล Medieval Forest Fair อีก... ต้องขอบอกว่าช่วงนั้นเราเป็นคนค่อนข้างไม่ค่อยระมัดระวัง... และบางครั้งก็ออกจะคึกคะนองจนเกินเหตุอยู่พอสมควร...
เราขี่จักรยานเที่ยววนไปรอบเมืองอย่างตื่นเต้นสนุกสนาน…ฮัมเพลงไป..แลซ้ายที..ขวาที.. เห็นกลุ่มเด็กๆ ขี่จักรยานอยู่ข้างหน้า ก็กะว่าจะรีบขี่ตามไปถ่ายรูปให้ทัน แหมทุกอย่างมันช่างดูลงตัวไปเสียหมด.. คิดอยากจะได้อะไรก็ได้... อยากจะเห็นอะไรก็ได้เห็น.. ยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับตัวเอง แล้วคิดเงียบๆอยู่ในใจ “ คนอะไร? เกิดมาทำไมมันช่างโชคดีขนาดนี้...ทุกอย่างเหมือนฟ้าประทานมา ” พอคิดจบเท่านั้นล่ะค่ะ “เอี๊ยด !...โครม !” ตัวเราเองลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นถนน พร้อมกล้องสุดรักที่มีบางชิ้นส่วนหลุดออกมาแล้วแตกกระจัดกระจายไปต่อหน้าต่อตา แถมด้วยข้อศอกกับขาข้างซ้ายที่เจ็บจนแทบจะขยับไม่ได้... ยังรู้สึกมึนๆงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตัวเองล้มลงไปนอนกับพื้นได้อย่างไร แล้วกลุ่มเด็กๆที่เราพยายามจะขี่จักรยานตามก็ค่อยเคลื่อนผ่านไกลออกไป...ไกลออกไป...
ผ่านไปไม่ถึงสองนาที คนเข้ามามุงเต็มไปหมดพร้อมรถพยาบาลมาจอดข้างหน้า เราเริ่มรู้สึกคลายความเจ็บแล้วลุกขึ้นนั่งได้ หลังจากเจ้าหน้าตำรวจให้พยาบาลตรวจเช็คร่างกายเรา จนแน่ใจว่าไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก แล้วก็พาเราไปทำแผลในรถพยาบาล... เสียงพูดเป็นภาษา Flemish จากคุณป้าคนหนึ่งที่มายืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ พยามอธิบายให้เราฟังว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมกับมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษให้เราฟังได้ความว่า …
“ คุณขี่จักรยานตกรางรถราง..ทำให้เสียหลักล้ม โชคดีที่หัวคุณไม่น็อคพื้นถนน .... แต่ไม่ต้องกลัวไป...ครั้งหน้าเดี๋ยวก็ชิน....คุณไม่ใช่คนแรก เด็กๆแทบทุกคนที่นี่ก็ล้มกันมาแล้วแทบทั้งนั้น... เราต้องสอนวิธีขี่จักรยาน และกำชับเด็กๆของเราทุกครั้ง ว่าให้ระมัดระวัง… เมืองของเราบางพื้นที่ยังมีรางรถรางทั้งที่เลิกใช้แล้ว...ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณไม่ปลอดภ้ย...เราจะต้องทำรายงานร้องเรียนให้ทางเทศบาลแก้ไข เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเทียวและประชาชาน” …อืม…อย่างนี้นี่เอง…มิน่าล่ะ...กลุ่มเด็กๆ มันถึงขี่ผ่านกันไปได้แบบชิลๆ … ดูจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตระดับชาติเลยทีเดียว… หลังจากนั้นคุณป้าคนเดิมก็เดินมาจับไหล่เพื่อให้กำลังใจ…เรากล่าวขอบคุณ…ก่อนที่แกจะเดินจากไป...
มีหลายครั้งที่ชีวิตเราต้องประสบกับเหตุการณ์ในทำนองนี้ ไล่ไปตั้งแต่เรื่องเล็กจนถึงเรื่องใหญ่ เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าใจพองฟู หรือคึกคะนองจนเกินพอดี มันก็มักจะมีเหตุการณ์ในทำนองนี้เข้ามาเพื่อ “เตะตัดขา” เราอยู่เป็นประจำ เหมือนกับว่ามีใครบางคนเฝ้ามองดูพฤติกรรมเราอยู่จากเบื้องบน และเขามักจะคอยตักเตือนเราด้วยวิธีการต่างๆนาๆอยู่เสมอว่า “…เฮ้ย ! ช้าลงหน่อยสิ ! มีสติ ! อย่าหลงระเริงจนลืมตัว ! อย่าคึกคะนองให้มากนัก !…” ประมาณนี้เลยค่ะ แล้วหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปทุกครั้ง มันก็จะปลุกจิตใต้สำนึกของเราให้ตื่นขึ้นมาก และมีสติอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย … ยังมีอีกหลายเรื่องที่เกิดขึ้นค่ะ… แล้วไว้รอบหน้าโอกาสเหมาะๆ จะกลับมาเล่าให้ฟังอีกค่ะ…
หลังที่ความเจ็บปวดค่อยๆทุเลาลง และฟื้นสติขึ้นมาได้ เราก็เหลือบไปเห็นกล้องถ่ายรูปที่รัก นอนคว่ำหน้าแอ้งแม้งอยู่ข้างๆ พร้อมกับชิ้นส่วนเล็กๆ 2-3 อันที่แตกกระจัดกระจาย เราค่อยๆเก็บรวบรวมชิ้นส่วนเหล่านั้น พร้อมกับตั้งสติ แล้วถอนหายใจลึกๆ ทำใจว่า “...มันก็แค่วัตถุนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้…” พร้อมกับปาดน้ำตาซึมๆออกมาเบาๆ ...เจ็บกายไม่เท่าเจ็บใจ...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ นอกจากทำใจ… ตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่า ตัวกล้องยังใช้งานได้ปกติเกือบ 100 % ยกเว้นในส่วนของฟังก์ชั่น Manual ที่ใช้งานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว กับมีรอยถลอกอีกนิดหน่อยรอบๆตัวกล้อง… พยายามคิดในแง่ดีว่า ก็ยังดีนะที่มันยังไม่ฟังไปเสียทั้งหมด อย่างน้อยเลนส์กับระบบ Auto ก็ยังใช้งานได้ดี ถ่ายง่าย และสะดวกกว่าด้วย… ว่าแล้วเราก็ค่อยๆ ประคองจักรยานคันเดิม… ขี่ไปช้าๆ อย่างมีสติมากขึ้น เพื่อไปปฏิบัติภารกิจต่อให้ลุล่วง …นั่นก็คือ… การเข้าไปสัมผัสบรรยากาศเมืองยุคกลางที่งาน Medieval Forest Fair กันต่อไปค่ะ…
สิ่งเหล่านี้จะเป็นกำลังใจให้เราสามารถสร้างโพสต์ที่ดีออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
Thankful for all followers, upvotes and comments,
you give me energy to create more good posts.
@bbkastro
รูปถ่ายสวยจังเลยค่ะ ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมากนะคะ สงสัยต้องอ้อนวอนเบื้องบนอย่าเตะตัดขาบ่อยนัก :)
หลังๆก็น้อยลงแล้วค่ะ เพราะมีสติกับชีวิตมากขึ้น ขอบคุณมากค่ะ คุณ @cicy
รูปสวยทุกรูปเลยจ้า 👍👍👍
ขอบคุณมากค่ะ ที่เข้ามาแวะทักทาย คุณ @linlada639
เป็นช่วงเวลาแสนสุขจริงๆ
อันที่จริงๆมันก็ยังมีหวานๆ ขมๆ ปนกันอยู่บ้างนะ :-)
เรื่องราวและรูปภาพน่าสนใจค่ะ😊
ขอบคุณนะคะคุณ @siamcat ขอบคุณที่ติดตามค่ะ :-)
รูปสวย แล้วก็เล่าเรื่องน่าติดตามด้วยค่ะ ^__^
ขอบคุณมากค่ะ ถ้าชอบรบกวนติดตามกันไปเรื่อยๆนะคะ :-)
กดติดตามแล้วนะคะ ^^/
ขอบคุณมากค่ะ